หลวงพ่อบุญ วัดวังมะนาว เกจิที่สุดยอดอีก 1 องค์ของเมืองโองมังกรครับ เหรียญรุ่น 1 ท่านสวยๆหลายหมื่นแล้วนะครับ แต่เหรียญที่ที่คนในพื้นที่มีประสบการณ์มากที่สุดคือ รุ่น หลังเสือ ปี 2516 เนื้อทองครับ รุ่นนี้ประสบการณ์ด้านแคล้วคลาดน่าดีจริงๆครับ ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อหนึ่ง วัดห้วยโรงครับ
วัดวังมะนาว เป็นวัดที่เก่าแก่สร้างมาหลายชั่วอายุคน ตั้งอยู่ ณ ตำบล วังมะนาว อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี
มีฐานะเป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย จากตำนานการบอกเล่าต่อๆกันมาว่า วัดนี้มีมาตั้งแต่ปร
ะมาณปี พ.ศ.๒๒๘๘
เป็นต้นมาแต่มาได้วิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๕ มีเจ้าอาวาสปกครองเท่าที่มีหลักฐานทั้งหมด ๑๐ รูป คือ
๑. หลวงพ่อเหล็ก
๒. หลวงพ่อพริ้ว
๓. หลวงพ่อมา
๔. หลวงพ่อสิงห์
๕. หลวงพ่อเรือน
๖. หลวงพ่ออ้าย
๗. หลวงพ่อแดง
๘. หลวงพ่อส่าน
๙. หลวงพ่อบุญ ( พระครูประดิษฐ์นวการ )
๑๐. หลวงพ่อส่วน ( พระครูโอภาสพัฒนกิจ )
ในช่วงที่หลวงพ่อบุญ ( พระครูประดิษฐ์นวการ )ดำรงฐานะเจ้าอาวาสวัดวังมะนาวท่านได้สร้างสมบารมีไว้มากมายทั้งทางด้านการปกครอง
การศึกษาปฏิบัติธรรม สั่งสอนจริยธรรมและคุณธรรม ตลอดจนการก่อสร้างถาวรวัตถุไว้มามาย อาทิเช่น ศาลาการเปรียญ
หอพระปริยัติธรรม หอฉันอุโบสถ และอื่นๆอีกมากมาย พิเศษโดยเฉพาะอุโบสถทรงแปดเหลี่ยมยอดเจดีย์ ๙ ยอด
ท่านเป็นผู้ริเริ่มวางแผนรูปแบบตามที่ท่านนิมิตซึ่งท่านได้มอบหมายให้ ผ.ศ. อำนวย หุนสวัส จากคณะจิตรกรรรม มหาลัยศิลปากร
เป็นที่ปรึกษา
วางแผนออกแบบก่อสร้างแต่การดำเนินงานยังไม่แล้วเสร็จหลวงพ่อบุญ ( พระประดิษฐ์นวการ ) ท่านถึงแก่มรณภาพเสียก่อน
พระอธิการส่วนได้รับมอบหมายให้รักษาการณ์เจ้าอาวาส ซึ่งต่อมาท่านได้รับแต่งตั่งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสจนถึงปัจจุบัน
ได้รับสมณสักดิ์ที่พระครูโอภาสพัฒนกิจได้ดำเนินการก่อสร้างอุโบสถจนลุล่วง เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
เป็นที่บรรจุพระธาตุตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อบุญต่อมาคณะศิษยานุศิษย์จึงได้จัดทำโครงการเขียนภาพจิตรกรรมประดับฝา
ผนังภายในอุโบสถ ๙ ยอด เพื่อต้องการให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย หลั่งไหลมานใสการ และศึกษาธรรม ณ อุโบสถ ๙ ยอด
โดยมีพระอาจารย์งามรตนญาโณพร้อมคณะศิษยานุศิษย์เป็นกำลังในการดำเนินการสานเจตนารมณ์ของหลวงพ่อบุญและเป็นการสืบทอด
พระศาสนาต่อไป
ที่มาของวัดวังมะนาวมีคนสมัยก่อนบอกว่าที่วัดมีต้นมะนาวอยู่หลังวัดที่หลังวัดนั้นมีลำห้วยแต่ลำห้วยนั้นมีต้นมะนาวอยู่กลางลำห้วย
คนสมัยนั้นจึงเรียกว่าวัดวังมะนาว ภายในโบสถ์ยังมีภาพวาดติดอยู่ที่ผาผนังซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก
ประวัติพระพุทธเมตตา
การมาเยือนพุทธคยาอันเป็นสถานที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิ์ญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
นอกเหนือจากการได้มาเคารพสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระแท่นวัชรอาสน์ และพระเจดีย์พุทธคยาแล้ว
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้เลยต่อการได้เคารพสักการะและทัศนา ถ้าแม้นว่าว่างเว้นเสียแล้ว ก็ดูเหมือว่าจะยังไม่
สมบูรณ์ต่อการมาเยือนพุทธคยดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์
สิ่งนั้นก็คือ พระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือปางสะดุ้งมาร ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพระเจดีย์พุทธคยาชั้นล่าง
เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นด้วยหินแกะสลักได้งามสง่ามากทีเดียว ปัจจุบันถูกทาสีด้วยสีทองเหลืออร่ามงามตาชวนให้ทัศนาเครารพกราบไหว้และ
สักการะเป็นอย่างยิ่ง
ต่อเมื่อได้เดินเข้าไปภายในอาณาเขตพระเจดีย์พุทธคายา ทางด้านทิศตะวันออกแล้วพอก้าวลงไปตามขั้นบันไดมองตรงไปข้างหน้าก็จะได้เห็นพระพุทธรูปนี้ประดิษฐานอยู่ในท่านั่งอยู่ด้วยความสงบเย็นโดดเด่นสง่างามอยู่ภายในพระเจดีย์ชั้นล่าง ยิ่งเดินใกล้เข้าไปจะยิ่งยังใจให้แช่มชื่นเบิกบานมากขึ้นเท่านั้น พระพักตร์นั้นช่างเปี่ยมไปด้วยความเมตตาดูเสมือนพระพุทธองค์ประทับรอรับผู้มาจากทิศน้อยทิศใหญ่ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณทั้งหลาย เพราะเหตุที่พระพุทธรูปนี้มีพระพักตร์อันเปี่ยมไปด้วยความเมตตา พุทธศาสนิกชนชาวไทยจึงให้สมัญญานามว่า พระพุทธเมตตาหรือที่มักจะได้ยินกันจนคุ้นหูในหมู่กลุ่มชาวไทยที่ประจำอยู่ในอินเดียและที่จรมาว่า หลวงพ่อเมตตา พระพุทธเมตตานั้นวัดจากพระเพลาซ้ายถึงขวา กว้าง 155 เซนติเมตร สูงจากพระเพลาถึงพระเกตุประมาณ 160 เซนติเมตร ที่ฐานด้านหลังมีรูปสิงโต 2 ตัว ซ้ายขวาถัดจากสิงโตเข้ามาเป็นรูปช้าง 2 ตัวซ้ายขวา และตรงกลางเป็นรูปพระแม่ธรณีในท่านคุกเข่า มือซ้ายถือภาชนะสิ่งหนึ่งอยู่บนฝ่ามือ
ตามประวัติกล่าวไว้ว่าพระพุทธเมตตาสร้างขึ้นด้วยหินแกรนิตสีดำ เมื่อสมัยปาละ มีอายุ 1,500ปีกว่า รอดพ้นจากการถูกทำลายของกษัตริย์รัฐเบงกอล พระนามว่า ศศางกาเมื่อพระพุทธศตวรรษที่ 13ครั้งนั้น กษัตริย์ผู้นี้ไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้อำนาจของแคว้นมคธซึ่งยุคนั้น พระเจ้าปรูณวรมาธ เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระเจ้า อศศางกา ได้ยกทัพมาจากเบงกอลมุ่งสู่แผ่นดินมคธ โดยในเบื้องต้นจะทำลายขวัญของ กษัตริย์มคธและข้าราชบริพารให้เสียเสียก่อนแล้วจึงยกทัพเข้าไปตีเมืองหลวงคือเมืองปาฎาลีบุตรหรือเมืองปัตนะในปัจจุบัน วัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง พระพุทธเมตตาทองคำ ที่พวกเราร่วมกันสร้างมหากุศลครั้งนี้ เริ่มต้นขึ้นคราวที่พระกฤษฎา สิริฑฺฒโน พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนจากประเทศไทยจำนวน 500 คน เดนทางไปทอดกฐิน ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ.2545 ซึ่งกฐินในครั้งนั้น ถือได้ว่าเป็นการสร้างมหากุลศลที่ยิ่งใหญ่ในรอบหลายร้อยปี หลังจากที่พระพุทธศาสนาได้สูญหายไปจากประเทศอินเดีย เพราะมีพระสงฆ์จากประเทศต่างๆทั้งนิกายมหายาน และเถรวาทมาร่วมอนุโมทนาเป็นจำนวนมาก คณะเจ้าภาพทอดกฐินในครั้งนั้นถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความ ปีติยินดีที่ได้มาสร้างมหาบุญ มหากุศล ณ สถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณหลังจากการทำบุญครั้งนั้น พระกฤษฎาได้เล่าเหตุการณ์ดังกล่าวให้คุณสุวีร์รัฐ (ไพจิตร์) ตัณชวนิชย์ฟัง เธอมีความปีติและศรัทธาเป็นอย่างย่อง จึงมีความประสงค์ที่จะมาสร้างมหาบุญในลักษณะเดียวกัน จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2546 คุณไพจิตร์และคุณบุญน้อมได้มีโอกาสเดินทางไปนมัสการ ณ บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์จึงได้ติดต่อกับท่าน โพธิปาละ เจ้าอาวาส Maha bodhi MaHavihar Society Main Temple
เพื่อขอเป็นเจ้าภาพในการทอดกฐินคราวนั้นเสร็จสิ้นด้วยความราบรื่นทุกประการต่อเนื่องจากเครื่องตกแต่งฉัตรแก้วนั้นบาง่สวนประกอบด้วยผ้า ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปจะเกิดความชำรุดเสียหาย ทางคณะได้ปรึกษาพระอาจาร์งาม รตนญาโณ ซึ่งพระอาจารย์ได้แนะนำว่าควรขออนุญาตกับท่านโพธิปาละ ซึ่งเป็นประธานและผู้ดูแล ณโคนต้นพระศรีมหาโพธิ์เพื่อขอดูแลรักษาฉัตรแก้วนี้เป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งท่านก็อนุญาต
จากวันนั้นจวบจนกระทั่งปัจจุบัน ก็เป็นเวลาล่วงเลยมาเกือบ 1 ปี ทางคณะได้จัดเตรียมเครื่องตกแต่งฉัตรแก้วชุดใหม่ ซึ่งมีความสวยงามและคงทนกว่าเดิม เพื่อจะนำไปถวาย ณ บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยครั้งนี้ คุณไพจิตร์ มีดำริที่จะสร้างพระพุทธรูปทองคำ ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 15 บาท ไปถวายด้วย จึงได้ปรึกษากับท่านพระอาจารย์งาม รตนาญาโณ ซึ่งท่านก็มีศรัทธาที่จะร่วมเป็นเจ้าภาพจัดสร้างด้วย หลังจากนั้นไม่นาน ท่านพระอาจารย์งามได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปแสวงบุญกับคณะหลวงพ่อจำเนียร สีละโฐ ณ ประเทศธิเบต จึงได้กราบเรียนหลวงพ่อจำเนียรถึงกุศลเจตนาครั้งนี้ ซึ่งหลวงพ่อจำเนียรท่านก็อนุโมทนา และมีจิตรศรัทธาร่วมเป็นเจ้าภาพด้วย และปรึกษาหารือกับศิษย์หลายฝ่ายจนได้มติว่าน่าจะจัดสร่าง พระพุทธเมตตาจำลอง หน้าตัก 5 นิ้ว ซึ่งจะต้องใช้ทองคำประมาณ 2 กิโลกรัมกว่า
ด้วยจิตรศรัทธา หลวงพ่อจำเนียร และพระอาจารย์งามพร้อมทั้ง ศิษย์ยานุศิษย์จึงเห็นพร้อมร่วมกันรวบรวมปัจจัยและทองคำ หน้าตัก 5 นิ้ว 1 องค์และพระพุทธเมตตาเนื้อเงินแท้พิมพ์เดียวกันอีก 16 องค์ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2548 เพื่อนำพระพุทธเมตตาทองคำไปถวายเป็นพุทธบูชา ณ โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่พุทธคยา ประเทศอินเดียและพระพุทธเมตตาเนื้อเงินแท้ทั้ง 16 องค์ มอบไว้ตามสถานที่ต่างๆเพื่อเป็นพุทรานุสติอีกด้วย
หลังจากหล่อพระพุทธเมตตาทองคำและพระพุทธเมตตาเนื้อเงินแท้เสร็จแล้วคณะศิษย์ได้ ปรึกษากันว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี จึงได้ปรึกษาหลวงพ่อจำเนียรท่านก็บอกว่าควรทำพิธีมหาพุทธาภิเษก แล้วท่านก็ให้ ฤกษ์เป็นวันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลา 2548 เวลา 15.09 น.และได้มอบหมายให้พระอาจารย์งามเป็นผู้จัดทำและหาสถานที่ทำพิธีมหาพุทธาภิเษกในครั้งนี้ พร้อมด้วยนิมนต์พระพุทธาภิเษก ซึ่งพระอาจารย์งามได้ปรึกษาคณะศิษย์และเห็นพ้องว่าควรจัด ณ อุโบสถ 9 ยอด วัดวังมะนาว ซึ่งสะดวกและไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก
ซึ่งขณะนี้ทางวัดวังมะนาวได้จัดทำภาพเขียนฝาผนังในอุโบสถ 9 ยอด ดังนั้นทางวัดวังมะนาวจึงได้จัดทำวัตถุมงคลหลวงพ่อบุญเข้าร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษกครั้งนี้ด้วยหลายอย่างเพื่อแจกจ่ายแก่ผู้มีจิตศรัทธาในการสร้างภาพเขียนจะได้เป็นพุทธานุสติและสืบทอดพระศาสนาต่อไป